Support
4life Immunity
0816516654
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

สารอาหารกับโรคเอดส์ (Nutrients and AIDS)

วันที่: 2011-09-11 10:44:47.0

สารอาหารกับโรคเอดส์ (Nutrients and AIDS)

        การรับเชื้อ HIV เข้าไปในร่างกายและค่อยๆพัฒนาไปเป็นโรคที่ยังรักษาให้หายขาดไม่ได้ แน่นอนคงเป็นโรคอื่นไปไม่ได้นอกจากโรค AIDS การเพิ่มจำนวนของเชื้อ HIV (viral replication) ในร่างกาย มนุษย์นั้นใช้เวลาพอสมควรก่อนจะไปถึงจุดที่ภูมิคุ้มกันจะเริ่มบกพร่อง (1) แต่ก็ไม่เสมอไป ซึ่งอาจจะเร็วขึ้นได้ หากช่วงระยะเวลาดังกล่าวมีการกระตุ้นด้วย oxidative stress (อนุมูลอิสระจากออกซิเจน) ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า oxidative stress เป็นหนึ่งปัจจัยที่นำไปสู่การลดลงของ T-helper cells (CD4+) และไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ HIV โดยตรงอย่างที่เข้าใจกัน นอกจากนี้ยังพบว่า oxidative stress มีส่วนทำให้เกิดการฆ่าตัวตาย (Apoptosis) ของ T-helper cells (CD4+) อีกด้วย (2)

        ดังนั้นสารต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน ( Anti-oxidants) จะมีบทบาทสำคัญในการยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งอาจลดการฆ่าตัวตายของเฃลล์ และลดการเพิ่มจำนวนของเชื้อ HIV นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV จะมีระดับของอนุมูลอิสระ (oxygen radicals) เช่น hydroperoxides และ malondialdehyde เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดและเนื้อเยื่อ แต่เอนไซม์ manganese superoxide dismutase, glutathione peroxidase, thioredoxin และ catalase ในพลาสม่า , ปอด , erythrocytes และ lymphocytes จะลดลง (3) ได้มีการศึกษาวิจัยบทบาทของสารต้านปฏิกิริยา ออกซิเดชัน และสรุปคร่าวๆได้ว่า สารหลายชนิดให้ผลการรักษาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเมื่อใช้ควบคู่กับ  การรักษาทั่วไป (4) ดังนี้

- ยับยั้งการเพิ่มจำนวน (Replication) ของ HIV และ apoptosis : N-Acetylcysteine,
Glutathione และ Alpha Lipoic Acid

- Mitochondrial toxicity ในกล้ามเนื้อและเส้นประสาท : L-Carnitine และ Acetyl-L-Carnitine

- เพิ่มระดับของ Glutathione และน้ำหนัก (Lean body mass) : L-Glutamine

         สารอาหารเหล่านี้มีกลไกในการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน และได้มีการนำมาใช้ร่วมกับการรักษาด้วยยาบ้างแล้ว เช่น การใช้ L-Carnitine ในผู้ป่วยที่ใช้ยาในกลุ่ม reverse transcriptase inhibitors เช่น AZT เป็นต้น เพื่อลดความเป็นพิษของ mitochondria

         ถึงแม้ว่าในวันนี้ยังไม่มียาหรือวิธีที่จะเอาชนะโรคร้ายชนิดนี้ได้ แต่มนุษย์ก็ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆอยู่แล้ว หวังว่าสักวันหนึ่งในมุมใดมุมหนึ่งของโลกคงจะมีคนประกาศว่า “เอดส์เป็นโรคที่มนุษย์สามารถพิชิตได้แล้ว” และขอให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ

References :
• Marmor M, Alcabes P, Titus S, et. Al. Low serum thiol levels predict shorter time-to-death among
HIV-infected injecting drug users. AIDS 1997; 11 : 1389-1393
• Greenspan HC, Aruoma OI. Oxidative stress and apoptosis in HIV infection : a role for
plant-derived metabolites with synergistic antioxidant activity. Immunol Today 1994; 15 : 209-213
• Sandstrom PA, Van Cleave S, Buttke TM, Lipid hydroperoxidases induced apoptosis in T cells
displaying a HIV-associated glutathione peroxidase deficiency. J. Biol Chem 1994; 269 : 798-801
• Lyn Patrick ND. Nutrients and HIV : Part Three- N-Acetylcysteine, Alpha-Lipoic Acid, L-Glutamine
And L-Carnitine. Altern Med Rev 2000; 5(4) : 290-305

สนับสนุนข้อมูลโดย สถาบันวิจัยศาสตร์ ด้านความงามและสุขภาพ
IBHs Institute of Beauty and health Sciences
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
โรคเอดส์ เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลง เพราะว่าได้รับเชื้อไวรัส HIV เมื่อภูมิคุ้มกันเสื่อม จึงเป็นโอกาสให้เชื้อโรคต่าง ๆ เข้ามาสู่ร่างกายและทำอันตรายต่อระบบอวัยวะต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยระยะสุดท้ายมักเสียชีวิตด้วยการติดเชื้อ

         ผู้ป่วยโรคเอดส์ทั่วไป มีปัญหาทางโภชนาการ เนื่องจากการกินไม่เพียงพอ และการดูดซึมอาหารผิดปกติ ท้องเสีย คลื่นไส้ และอาเจียน  จึงทำให้ขาดพลังงาน โปรตีน และสารอาหารอื่น ๆ เช่น วิตามินเอ บี และธาตุเหล็ก เป็นต้น

         อาหารที่ควรกิน คือ อาหารหลัก 5 หมู่ ที่เพียงพอหลากหลาย ควรกินอาหารที่ให้พลังงานและโปรตีนให้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ภูมิคุ้มกันเสื่อมลงไปอีก เนื่องจากผู้ป่วยประเภทนี้มีปัญหาการกินอาหารทางปาก การเพิ่มพลังในอาหารสามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารเหลวที่ทำมาจากนมและ ถั่วเหลือง หรือนม ดื่มน้ำผลไม้ระหว่างวัน เพิ่มน้ำตาลลงในอาหารและเครื่องดื่มแต่พอสมควร กินผัก ผลไม้ให้มาก ๆ

         โดยเฉพาะที่ให้พลังงานสูง ส่วนการเพิ่มโปรตีนในอาหารนั้น ทำได้โดยการกินปลา และไข่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองต่าง ๆ และควรกินอาหารเพิ่มเป็น 4-5 มื้อต่อวัน กินอาหารที่สุก สะอาด ล้างผักและผลไม้ก่อนกิน งดอาหารเผ็ดจัด ร้อนจัด และพวกหมักดอง

         นอกจากอาหารแล้ว การออกกำลังกาย การทำสมาธิ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น


----------------------------------------------------------------------------------------------------------

 

สารอาหารที่จะช่วยให้ผู้ป่วยเอดส์มีสุขภาพดีขึ้น


         นายแพทย์ Barry Hurwitz แห่งมหาวิทยาลัย Miami ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาวิจัยหาสารอาหารที่จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV หรือ เอดส์ หายจากโรคดังกล่าว หรือ มีสุขภาพดีขึ้นเก่าเดิม ผลการศึกษาวิจัยที่ใช้เวลานานหลายเดือน นายแพทย์ Barry Hurwitz พบว่า สารเซเลเนี่ยม ที่พบในอาหารหลายชนิด มีคุณสมบัติช่วยลดไวรัส และ ช่วยเพิ่ม CD4 ให้ผู้ป่วยเอดส์ได้อย่างน่าพอใจ

         โดย นายแพทย์ Barry Hurwitz ได้ศึกษาวิจัยในผู้ป่วยเอดส์ 262 คน โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้เซเลเนี่ยมหลอก กลุ่มหลังให้เซเลเนี่ยมจริง ผลการศึกษาวิจัยพบว่า กลุ่มผู้ป่วยเอดส์ที่ได้รับเซเลเนี่ยมจริงต่อเนื่องนานหลายเดือน เมื่อเจาะเลือดตรวจหาไวรัส HIV และตรวจ CD4 พบว่า เชื้อไวรัสลดลง 10,000 ตัว ต่อเลือดหนึ่งมิลลิลิตร หรือ ลดลง 12% ขณะที่ CD4 กลับเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 30 เซลต่อเลือดหนึ่งไมโครลิตร

         ผลการศึกษาวิจัยดังกล่าว ได้ข้อสรุปว่า เซเลเนี่ยม เป็นสารอาหารที่ช่วยให้ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV หรือ เอดส์ มีสุขภาพดีขึ้น เนื่องจากจำนวนไวรัสลดลงมาก และ ภูมิต้านทาน (CD4) กลับเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ผู้ติดเชื้อ มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างปกสุขเหมือนคนปกติทั่วไป

         เซเลเนี่ยม จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทำงานร่วมกับ วิตามิน E ดังนั้น หากจะรับประทานเซเลเนี่ยมให้ได้ผลสูงสุด ต้องรับประทานวิตามิน E ร่วมด้วยทุกครั้ง

         อาหารธรรมชาติที่มีเซเลเนี่ยมมาก เช่น ข้าวกล้อง หัวหอม กระเทียม มะเขือเทศ บล็อคโคลี่ เห็ด เป็นต้น

         น้ำมันจมูกข้าว สกัดจากจมูกข้าวและรำข้าว จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเซเลเนี่ยมมากเป็นพิเศษ ที่สำคัญมีวิตามิน E อยู่ในน้ำมันจมูกข้าวจำนวนมากด้วย เมื่อเซเลเนี่ยม และวิตามิน E อยู่รวมกันในน้ำมันจมูกข้าว การรับประทานน้ำมันจมูกข้าว จึงได้ทั้งเซเลเนี่ยม และ วิตามิน E พร้อมๆ กัน ซึ่งส่งผลให้เซเลเนี่ยม มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อทำงานร่วมกับวิตามิน E

         ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV หรือ เอดส์ ควรรับประทาน น้ำมันจมูกข้าว วันละ 4 - 6 แคปซูน ก็จะทำให้สุขภาพดี สามารถมีชีวิตอย่างปกติสุขตลอดไป

ที่มา : http://groups.msn.com/amata/page23.msnw