Support
4life Immunity
0816516654
Your shopping cart
ดูตะกร้าสินค้าของคุณ
ไม่มีสินค้าในตะกร้าของคุณ

ไวรัสตับอักเสบบีสาเหตุของมะเร็งตับ

วันที่: 2011-03-15 15:56:19.0view 49823reply 0

โรคตับอักเสบบี (Hepatitis B)

              โรคตับอักเสบเกิดได้จากเชื้อไวรัสหลายชนิด ที่พบบ่อยคือไวรัสเอ (HAV) และไวรัสบี (HBV) ซึ่งทั้งสองชนิดนี้ทำให้เกิดอาการคล้ายคลึงกัน แต่ระบาดวิทยาของโรคต่างกัน โรคตับอักเสบบีมีความรุนแรงมากกว่าโรคตับอักเสบเอ และมีโอกาสที่จะเป็นเรื้อรังและเชื้อ HBV จะนำไปสู่มะเร็งตับได้ ปัจจุบันมีวัคซีนที่ป้องกันโรคได้

สาเหตุ

               เกิดจากเชื้อไวรัส Hepatitis B Virus (HBV)  ซึ่งเป็น DNA ไวรัส  จัดอยู่ในกลุ่ม Hepadnavirus  มีส่วนของไวรัสที่สำคัญ ซึ่งเป็น antigen ที่มี markers ที่สำคัญของโรค คือ Hepatitis B surface antigen (HBsAg),  Hepatitis B core antigen (HBcAg)  และ  Hepatitis e antigen (HBeAg) ซึ่งจะมีอยู่ในเลือดและน้ำคัดหลั่ง (secretion) ต่าง ๆ ของร่างกาย

ระบาดวิทยา

               เชื้อ HBV ติดต่อกันได้ทางเลือดและน้ำคัดหลั่งต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น น้ำลาย เสมหะ น้ำนม น้ำอสุจิ    โดยเลือดจะเป็นแหล่งสำคัญที่มีเชื้ออยู่เป็นจำนวนมากที่สุด และในน้ำลายมีน้อยที่สุด ผู้ที่มีเชื้อ HBV อยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือน ถือเป็นพาหะของโรค (carrier) ซึ่งมีความสำคัญในการแพร่กระจายเชื้อไปให้ผู้อื่น ทางติดต่อที่สำคัญคือการได้รับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดที่มี HBV การใช้เข็มหรือหลอดฉีดยาร่วมกัน การสัมผัสกับเลือด หรือน้ำคัดหลั่งต่าง ๆ ผ่านทางผิวหนัง หรือเยื่อบุต่าง ๆ และติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ การติดต่อคล้ายกับโรคเอดส์

               ผู้ที่มีการติดเชื้อ HBV เรื้อรังจะตายจากโรคตับเรื้อรัง หรือเป็นมะเร็งที่ตับ การติดเชื้อในวัยทารกและวัยเด็กมีโอกาสที่จะเป็น carrier สูงกว่าวัยผู้ใหญ่ และนำไปสู่การเสียชีวิตด้วยโรคตับได้สูงกว่าแม่ที่เป็น carrier จะถ่ายทอดเชื้อไปยังลูกได้ มีรายงานว่าประมาณร้อยละ 70-90 ของทารกที่แม่มี HBsAg จะมีอาการติดเชื้อแบบเรื้อรัง ถ้าไม่ติดเชื้อในช่วง perinatal หลังคลอดจนถึงอายุ 5 ปี เด็กที่มีแม่เป็น HBsAg carrier ก็มีโอกาสติดเชื้อ HBV ได้สูงกว่าเด็กที่แม่ไม่มี HBsAg

               โรคตับอักเสบเกิดได้จากเชื้อไวรัสหลายชนิด ที่พบบ่อยคือไวรัสเอ (HAV) และไวรัสบี (HBV) ซึ่งทั้งสองชนิดนี้ทำให้เกิดอาการคล้ายคลึงกัน แต่ระบาดวิทยาของโรคต่างกัน โรคตับอักเสบบีมีความรุนแรงมากกว่าโรคตับอักเสบเอ และมีโอกาสที่จะเป็นเรื้อรังและเชื้อ HBV จะนำไปสู่มะเร็งตับได้ ปัจจุบันมีวัคซีนที่ป้องกันโรคได้

สาเหตุ

                เกิดจากเชื้อไวรัส Hepatitis B Virus (HBV)  ซึ่งเป็น DNA ไวรัส  จัดอยู่ในกลุ่ม Hepadnavirus  มีส่วนของไวรัสที่สำคัญ ซึ่งเป็น antigen ที่มี markers ที่สำคัญของโรค คือ Hepatitis B surface antigen (HBsAg),  Hepatitis B core antigen (HBcAg)  และ  Hepatitis e antigen (HBeAg) ซึ่งจะมีอยู่ในเลือดและน้ำคัดหลั่ง (secretion) ต่าง ๆ ของร่างกาย

ระบาดวิทยา

              เชื้อ HBV ติดต่อกันได้ทางเลือดและน้ำคัดหลั่งต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น น้ำลาย เสมหะ น้ำนม น้ำอสุจิ    โดยเลือดจะเป็นแหล่งสำคัญที่มีเชื้ออยู่เป็นจำนวนมากที่สุด และในน้ำลายมีน้อยที่สุด ผู้ที่มีเชื้อ HBV อยู่ในร่างกายเกิน 6 เดือน ถือเป็นพาหะของโรค (carrier) ซึ่งมีความสำคัญในการแพร่กระจายเชื้อไปให้ผู้อื่น ทางติดต่อที่สำคัญคือการได้รับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดที่มี HBV การใช้เข็มหรือหลอดฉีดยาร่วมกัน การสัมผัสกับเลือด หรือน้ำคัดหลั่งต่าง ๆ ผ่านทางผิวหนัง หรือเยื่อบุต่าง ๆ และติดต่อผ่านทางเพศสัมพันธ์ การติดต่อคล้ายกับโรคเอดส์

              ผู้ที่มีการติดเชื้อ HBV เรื้อรังจะตายจากโรคตับเรื้อรัง หรือเป็นมะเร็งที่ตับ การติดเชื้อในวัยทารกและวัยเด็กมีโอกาสที่จะเป็น carrier สูงกว่าวัยผู้ใหญ่ และนำไปสู่การเสียชีวิตด้วยโรคตับได้สูงกว่าแม่ที่เป็น carrier จะถ่ายทอดเชื้อไปยังลูกได้ มีรายงานว่าประมาณร้อยละ 70-90 ของทารกที่แม่มี HBsAg จะมีอาการติดเชื้อแบบเรื้อรัง ถ้าไม่ติดเชื้อในช่วง perinatal หลังคลอดจนถึงอายุ 5 ปี เด็กที่มีแม่เป็น HBsAg carrier ก็มีโอกาสติดเชื้อ HBV ได้สูงกว่าเด็กที่แม่ไม่มี HBsAg

โดยสรุปผู้ที่เป็นพาหะของโรค (มี HBsAg) สามารถแพร่เชื้อได้ทาง
            1) ทางเลือด การได้รับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดที่มี HBsAg อยู่
            2) การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การใช้ของมีคมเช่นมีดโกน กรรไกรตัดเล็บร่วมกัน ซึ่งอาจมีเลือดติดผ่านเข้าตามรอยฉีกขาดของผิวหนัง
            3) ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการฉีกขาดของเยื่อบุ เชื้อที่อยู่ในเลือด ในน้ำอสุจิในช่องคลอด ผ่านจากผู้เป็นพาหะไปยังผู้สัมผัสโรค ด้วยวิธีนี้สามีที่ติดเชื้อก็จะถ่ายทอดเชื้อไปยังภรรยาได้
            4) แม่ที่เป็นพาหะแพร่เชื้อให้ลูกที่เกิดใหม่โดยเชื้อผ่านไปยังลูกในขณะใกล้จะ คลอด ขณะคลอด โดยเชื้อที่อยู่ในเลือด ในน้ำเมือก ในช่องคลอด และในน้ำคร่ำ ผ่านเข้าทางผิวหนัง และเยื่อบุของลูกที่อาจมีการถลอกหรือฉีกขาด
            5) ทางน้ำลายถึงแม้จะมีเชื้ออยู่น้อย แต่ถ้าได้รับซ้ำๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจเป็นทาง    นำเชื้อไปสู่ผู้สัมผัสโรคได้ เช่น การใช้แปรงสีฟัน ใช้เครื่องใช้ในการรับประทานอาหาร เช่น ช้อน หลอดดูดน้ำ แก้วน้ำร่วมกัน หรือการที่แม่เคี้ยวอาหารก่อนแล้วป้อนลูกก็อาจเป็นทางถ่ายทอดเชื้อได้ทาง หนึ่ง
            6) ทางน้ำนม ในแม่ที่ติดเชื้อ HBV เชื้อจะผ่านทางน้ำนมไปยังลูกได้ ในประเทศที่มีอุบัติการณ์ของการติดเชื้อ HBV ต่ำมาก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา (อุบัติการณ์ร้อยละ 0.1) จะไม่แนะนำให้แม่ที่เป็นพาหะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่ในประเทศด้อยพัฒนา และหรือประเทศที่มีอุบัติการณ์ของการติดเชื้อสูงองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ เพราะอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อน้อยกว่าปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากโรคอุจจาระ ร่วง โรคติดเชื้ออื่นๆ และภาวะทุพโภชนาการ ถ้าเด็กไม่ได้กินนมแม่

อาการและอาการแสดง

               ระยะฟักตัวของโรค 50-150 วัน เฉลี่ย 120 วัน ส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ แต่อาจจะเป็นพาหะได้โดยเฉพาะในเด็กทารก การติดเชื้อในวัยทารกและเด็กเล็กโอกาสเป็นพาหะจะสูงกว่าในผู้ใหญ่

               อาการของผู้ป่วยตับอักเสบบีจะเริ่มด้วยมีไข้ต่ำๆ มีอาการทางระบบทางเดินอาหาร อาจเบื่ออาหารอย่างรุนแรง น้ำหนักลด อาเจียน ปวดท้อง อาจปวดทั่วไปหรือปวดบริเวณชายโครงขวา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่คลำพบว่าตับโต กดเจ็บ จะสังเกตว่าปัสสาวะมีสีเข้มขึ้นเป็นสีชาแก่ เริ่มมีอาการตาเหลืองตัวเหลืองในปลายสัปดาห์แรก ซึ่งเมื่อถึงระยะนี้ไข้จะลดลง อาการทั่วไปจะดีขึ้น ในเด็กส่วนใหญ่ อาการของโรคตับอักเสบจะไม่รุนแรงมากเท่าในผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่ไวรัสบียังคงอยู่ในตัว ทำให้คนนั้นกลายเป็นพาหะของไวรัสบี คอยแพร่เชื้อให้คนอื่นที่ไม่มีภูมิต้านทานหรือภูมิต้่านทานต่ำ มีส่วนน้อยที่กลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายที่รุนแรงมากจะมีภาวะตับวาย ซึ่งทำให้ถึงเสียชีวิต

การวินิจฉัย

               จากอาการดังกล่าวร่วมกับการตรวจพบการทำหน้าที่ของตับผิดปกติโดยการตรวจ เอนไซม์ จะบอกได้ว่าเป็นโรคตับอักเสบ แต่จะบอกได้แน่นอนว่าเป็นตับอักเสบจากเชื้อ HBV ได้โดยการตรวจพบ HBsAg และตรวจพบ antibody ต่อ antigen ต่างๆ

การรักษา

               ไม่มียาเฉพาะ การรักษาเป็นการให้การรักษาตามอาการและแบบประคับประคองให้อาหารที่มีคุณค่า

การแยกผู้ป่วย

               เนื่องจากติดต่อกันทางเลือดและน้ำคัดหลั่งต่างๆ จึงจะต้องป้องกันแบบ universal precaution (เช่นเดียวกับโรคเอดส์) และในช่วงที่ไม่ทราบว่าเป็นชนิดใดแน่ จะต้องแยกแบบ enteric precaution เพราะเชื้อตับอักเสบชนิดเอ และ อี (hepatitis E virus) ติดต่อกันทาง fecal oral route

การป้องกัน

               ความปัจจุบันนี้มีวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีได้แล้ว บ้านเราฉีดให้กับเด็กแรกเกิดทุกคนด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่ค่อยน่าเป็นห่วงสำหรับเด็กรุ่นใหม่แต่อย่างใด

               แต่คนที่เป็นพาหะหรือมีไวรัสบีในตัว ต้องคอยระวังตัวเองไม่ให้ภูมิต้านทานของตัวเองต่ำ เพราะถ้าเผลอเมื่อใด ไวรัสบีที่คอยจ้องจะทำให้ตับเกิดอาการอักเสบขึ้นมาทันที กลายเป็นโรคเรื้อรัง

               การที่ปล่อยให้ตับอักเสบบ่อยๆ ทำให้ตับเกิดการระคายเคืองเป็นระยะ ตับก็จะพยายามซ่อมตัวเอง ทำให้บางครั้งเกิดเนื้อเยื่อที่ไม่เหมือนกับเนื้อตับเดิม กลายเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งตับขึ้นมา จากสถิติ หากมีไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในร่างกายนาน ประมาณ 40-50ปี คนคนนั้นจะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งตับได้สูงมาก

               ใครก็ตามที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอยู่ในตัวไม่ว่าจะเป็นพาหะก็ตาม ก็มีความเสี่ยงสูงในการเป็นมะเร็งตับได้ และต้องดูแลตัวเองให้ดี ไม่ให้ภูมิต้านทานของตัวเองเพลี่ยงพล้ำต่อเชื้อไวรัสได้ จึงจะลดอัตราเสี่ยงนี้ลงได้ และระมัดระวังตัวเองในชีวิตประจำวัน ดังนี้

             1) หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือการให้เลือดหรือส่วนประกอบต่างๆ ของเลือดโดยไม่จำเป็น
             2) ไม่ใช้ของมีคม เข็มฉีดยาและหลอดฉีดยาร่วมกัน
             3) ไม่ใช้ภาชนะในการดื่มน้ำ รับประทานอาหาร ร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นพาหะ
             4) คู่สามีภรรยา ถ้ามีผู้ใดเป็นพาหะ อีกฝ่ายหนึ่งควรได้รับวัคซีนป้องกัน
             5) ให้วัคซีนป้องกันตับอักเสบบี (HB) แก่เด็กแรกเกิดทุกคนโดยให้เข็มที่ 1 ภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด เข็มที่ 2 เมื่ออายุ 2 เดือน และเข็มที่ 3 เมื่ออายุ 6 เดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่จะผ่านมาจากแม่และการติดเชื้อในระยะต่อไป ในรายที่แม่มี HBeAg อาจพิจารณาให้ Hepatitis B immune globulin (HBIG) ร่วมด้วย


วิธีธรรมชาติในการยับยั้งอาการมะเร็งตับไม่ให้เกิดขึ้น

1. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด

2. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีผลต่อตับ เช่น พาราเซตามอล เตตราไซคลิน อีริโทรมัยซิน ไอเอนเอช และยาคุมกำเนิด เป็นต้น

3. ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยๆควรนอนให้ได้วันละ 6-8 ชั่วโมง

4. ห้ามไม่ให้เครียด ไม่ควรทำงานหามรุ่งหามค่ำต้องหาวิธีคลายเครียดทุกวัน เช่น ทำงานอดิเรกหรืออกกำลังกาย เพราะความเครียดจัดทำให้ภูมิต้านทานตกได้มากๆเลย

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว หรือวิ่งเหยาะ 5-7 ครั้งต่อสัปดาห์ นานครั้งละครึ่งชั่วโมง การออกกำลังกายขนาดนี้จะช่วยรักษาระดับภูมิต้านทานให้สูงอยู่เสมอ

6. อาหาร เป็นเรื่องสำคัญที่สุด จะต้องกินข้าวกล้องเป็นประจำ กินผักสดผลไม้สด กินน้ำคั้นจากผักและผลไม้สดอย่างน้อยวันละ 3-4 แก้ว (200 ซีซี) เพราะน้ำตาลจำเป็นต่อการทำงานของตับ แต่ไม่ควรกินน้ำหวานใส่สี เพราะมีประโยชน์ไม่เท่ากับน้ำผักและน้ำผลไม้สดๆ

งดน้ำมัน ดังนั้นอาหารประเภท ทอด ผัด กะทิ นม เนย ต้องงด เพื่อที่ตับจะได้ทำงานย่อยอาหารประเภทน้ำมันน้อยลง ตับของเราไม่สบายก็ควรปล่อยให้มันได้พักบ้าง ไม่ใช่ใช้งานหนัก โดยให้ย่อยอาหารมันๆ อย่าง ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ อย่างนี้ไม่ควร

งด เนื้อสัตว์ รวมทั้งเนื้อปลา กินแต่มังสวิรัติ จนกระทั่งตับหายอักเสบ เอนไซม์ตับลดลงเป็นปกติ จึงกินปลาหรือสัตว์น้ำบ้างนิดๆหน่อยๆ แบบคนไทย เช่น กุ้งใส่แกงเลียง ปลาใส่แกงส้มอะไรประเภทนี้ แต่น้ำมันยังคงต้องควบคุมต่อไป

สำหรับผู้ที่เป็นตับอักเสบแล้วและต้องการควบคุมอาหาร เสนอว่าให้ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เป็น 3 ระยะ ดังนี้คือ

ระยะที่หนึ่ง 2 สัปดาห์แรก

1. กินข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ไม่ได้ขัดขาวทุกมื้อ

2. กินผักสด หรือผลไม้สดทุกมื้อ เช่น มื้อเช้ากินผลไม้สด มื้อเที่ยงกินส้มตำ มื้อเย็นกินสลัดผัก กินน้ำคั้นจากผักและผลไม้สด วันละ 2 แก้ว (200 ซีซี)

3. เนื้อสัตว์ ให้กินปลา อาหารทะเล และไข่ ถ้าจะอยากกินไก่ ให้กินไก่พื้นบ้าน และลอกหนังออก

4. น้ำมันพืช ใช้เพียงเล็กน้อย พอให้ของที่ผัดไม่ติดกระทะ


ระยะที่สอง 4 สัปดาห์ถัดไป หรือจนกระทั่งตับหายอักเสบ

1. กินข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีทเช่นเดิม

2. กินผักสด ผลไม้สดทุกมื้อ กินน้ำคั้นจากผักสดและผลไม้สดวันละ 4 แก้ว (200 ซีซี)

3. งดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ งดปลา กินมังสวิรัติ เช่น เต้าหู้  เห็ด  วุ้นเส้น  แทน

4. งดน้ำมันทุกประเภท และกะทิ ให้กินแกงส้ม  ต้มยำ  ยำ  ลาบ  น้ำพริก แทน

 

ระยะที่สาม ตลอดไป

1. กินข้าวกล้อง  ขนมปังโฮลวีท เช่นเดิม

2. กินผักสด ผลไม้สดทุกมื้อ กินน้ำคั้นจากผักสดและผลไม้สด วันละ 2 แก้ว (200 ซีซี)

3. กินปลา และสัตว์น้ำได้ งดไก่ และไข่

4. งดน้ำมันทุกประเภท งดกะทิ

ต่อไปนี้เป็นเมนูตัวอย่าง  แนะนำพอเป็นแนวทางเหมาะสำหรับคนที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีค่ะ

ข้าวกล้องราดหน้าซีฟู้ด

เครื่องปรุง

ข้าวกล้อง 1 ทัพพี  กุ้งแช่บ๊วย 2 ตัว ปลาหมึกหั่น 2 ชิ้น เนื้อปลากะพงขาว 1 ชิ้น หอยแมลงภู่ 2 ตัว พริกไทยป่น ¼ ช้อนชา รากผักชี 1-2 ราก กระเทียม 3-4 กลีบ น้ำปลา  น้ำตาลนิดหน่อย น้ำมันพืช น้ำซุป พริกขี้หนูสด (ถ้าชอบเผ็ด)

วิธีทำ

โขลก รากผักชี กระเทียม  โรยพริกไทย  ถ้าชอบเผ็ดใส่พริกขี้หนูลงไป ทุบพอแตก 2-3 เม็ด เอากระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย  ผัดเครื่องก่อนแล้วเอากุ้ง ปลาหมึก  หอย  ลงผัดพอสุก ใส่ปลากะพงทีหลัง เติมน้ำซุปพอขลุกขลิก  ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล (ถ้าชอบหวาน) แล้วนำไปราดข้าวกล้อง

หมายเหตุ
เมนู เป็นตัวอย่างของอาหารใน 2 สัปดาห์แรก คือกินข้าวกล้อง  อาหารทะเล ใช้น้ำมันเล็กน้อย  ถ้าได้กินอาหารจานนี้กับสลัดผักสด  และตามด้วยน้ำผลไม้คั้นสด เช่น น้ำส้มคั้น ก็จะสมบูรณ์ทีเดียว

2  สัปดาห์แรกเป็นเมนูที่ค่อยๆ ทำให้คุณชินกับอาหารไขมันต่ำ และการงดเนื้อสัตว์ใหญ่

 
ซุปมิโซะ  เต้าหู้หลอด

เครื่องปรุง

เต้าหู้หลอด 1 หลอด มิโซะ 1 ช้อนโต๊ะ ต้นหอม 1-2 ต้น น้ำซุป 1 ถ้วยแกง

วิธีทำ

หั่นเต้าหู้เป็นแว่นแล้วผ่าเป็น 4 ส่วน ต้มน้ำซุปให้เดือด ละลายมิโซะลงไป ใส่เต้าหู้ และต้นหอมหั่นทีหลัง

หมายเหตุ

เมนู นี้เป็นแบบมังสวิรัติ เหมาะสำหรับกินในระยะที่สอง ซึ่งต้องกินมังสวิรัติและไม่ใช้น้ำมัน  บางครั้งหันมาใช้มิโซะใส่ลงไปในน้ำแกง ก็จะทำให้หายเบื่อกับแกงจืดแบบเดิมๆได้

ถ้าไม่มีมิโซะ จะใช้เต้าเจี้ยวแบบจีนอย่างดีใส่ลงไปแทนก็ได้ (แต่อย่างใส่ให้เค็มมากนะครับ จะทำให้ตับ


วุ้นเส้นผัดไทยไร้น้ำมัน

เครื่องปรุง

วุ้น เส้นแช่น้ำแล้ว 1 ห่อเล็ก  เต้าหู้แข็ง ¼ ก้อน กระเทียมบุบ 2-3 กลีบ น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา  น้ำตาลปีบนิดหน่อย  ถั่วงอก 1 หยิบมือ กู๋ไช่ 2-3 ต้น หัวปลี น้ำซุป มะนาว

วิธีทำ

เอา น้ำซุปใส่กระทะ  จนเดือดจัด ใส่กระเทียมบุบลงไปผัดกับน้ำจนหอม เอาเต้าหู้และวุ้นเส้นลงผัด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปีบ ใส่ถั่วงอก และกู๋ไช่ กินกับหัวปลี ก้านกู๋ไช่ ถ้าไม่เปรี้ยวพอให้บีบมะนาว

หมายเหตุ

เมนู นี้เป็นตัวอย่างของอาหารในระยะที่สอง  ซึ่งห้ามน้ำมัน  อะไรที่ต้องการผัดสามารถใช้น้ำซุปผัดแทนได้  แค่นี้ก็ไม่ต้องเป็นภาระของตับที่จะย่อยน้ำมันแล้ว


น้ำพริกกะปิ  ปลาทูย่าง

เครื่องปรุง
กะปิ ดี 1 ช้อนโต๊ะ กระเทียม 2-3 กลีบ กุ้งแห้งป่น 1 ช้อนโต๊ะ มะเขือพวง  พริกขี้หนู  มะนาว น้ำตาลปีบนิดหน่อย  ปลาทูนึ่ง 1-2 ตัว ผักแกล้มแล้วแต่ชอบ

วิธีทำ

โขลกพริกขี้หนู กระเทียม  กะปิ  กุ้งแห้งเข้าด้วยกัน ละลายน้ำซุปพอขลุกขลิก  ปรุงรสด้วยน้ำตาลปีบและมะนาวแล้วแต่ชอบ
ย่างปลาทูจนสุก  และหอมดีแล้ว  กินกับน้ำพริก และผักแกล้ม

หมายเหตุ
นี่ก็น้ำพริกกะปิธรรมดาๆแต่แทนที่จะกินกับปลาทูทอดให้มีน้ำมันก็เพียงแต่เปลี่ยนมากินกับปลาทูย่าง  ก็อร่อยได้เช่นเดียวกัน
เมนู นี้ทำเป็นตัวอย่างสำหรับอาหารในระยะที่ 3 ซึ่งสามารถกินปลาได้ แต่น้ำมันให้น้อยสักหน่อย  การย่างปลาทูแทนการทอดก็เป็นวิธีหนึ่งที่จะลดน้ำมันลงได้

การกินปลาไม่จำเป้นต้องทอดเสมอไป  จะย่างบ้าง ใส่ไมโครเวฟบ้าง นึ่ง หรือต้มบ้างก็ได้

.................................................................................................................................................................................


ขอบคุณข้อมูลจาก

สำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข
หนังสือกุลสตรี  คอลัมน์เพื่อชีวิตและสุขภาพ   
คุณ Ni และคุณ Jimmie B จาก Yahoo รอบรู้

 

 

ยาใหม่รักษาไวรัสบี ความหวังในคนไข้ตับอักเสบ

ก้าวใหม่ในการรักษาตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสบี
ยา ตัวนี้ชื่อว่า Hepsera ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาเมื่อกันยายน ปีที่แล้ว ในการรักษาตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสบี ความแตกต่างที่เหนือกว่ายาเก่าสองตัว (คือ อินเตอร์ฟีรอน และ ลามิวูดิน) คือยานี้ ทำให้เกิดเชื้อดื้อยาน้อยกว่ามาก ผู้ป่วยมีผลข้างเคียงน้อยกว่า

จาก การเปรียบเทียบกับยาเก่าคือ ลามิวูดิน (ชื่อการค้าคือ zeffix ที่หลายคนเคยได้ใช้)ปรากฎว่ายาใหม่นี้ไม่มีเชื้อดื้อยาเลย เมื่อเทียบกับลามิวูดิน ที่มีเชื้อดื้อยา 15% ต่อปี บางรายงานถึง 65% การศึกษานี้ตีพิมพ์ลงใน New England Journal of Internal medicine เมื่อ กุมภาพันธ์ปีนี้ โดยเชื่อว่า การรักษาที่ได้ผลจากยากลุ่มใหม่นี้ เป็นการเปิดยุคใหม่ของการรักษาตับอักเสบจากไวรัสเลยทีเดียว

จาก การวิจัย โดยใช้กลุ่มตัวอย่างไวรัสบี พบว่า 53% -64% ของคนไข้ที่มีเชื้อไวรัสบี และมีตับอักเสบเรื้อรัง มีอาการดีขึ้นชัดเจน ไม่มีการดื้อยา และผลข้างเคียงต่ำ แม้จนขณะนี้สองปี ผู้ป่วยก็ยังรับประทานยาอยู่
"Hepsera เป็นยาตัวแรก ในยากลุ่มใหญ่ที่เรากำลังทดสอบ ซึ่งแน่นอน เมื่อมีตัวยาหลากหลาย ก็จะสามารถมีตัวเลือกในการใช้ยารวม มากขึ้นในกลุ่มผู้ติดเชื้อไวรัสบี คล้าย ๆ กับเอดส์ และไวรัสซี"

มากกว่า 350 ล้านคนทั่วโลก เป็นไวรัสตับอักเสบบี ในไทย ผู้ที่มีเชื้อประมาณ 10 % ของประชากรทั้งหมด เชื้อนี้ติดต่อกันง่ายมากทางการรับประทานอาหารร่วมกัน เพศสัมพันธ์ และการรับเลือด ติดง่ายกว่าเอดส์ และผู้ที่มีอาการเฉียบพลัน จะมีตัวเหลือง ตาเหลือง และโอกาสเป็นไวรัสตับเรื้อรังได้ ผู้ที่เป็นเรื้อรัง จะมีโอกาสเป็นตับแข็ง และมะเร็งตับสูงกว่าปกติ
Hepsera แรก ๆนั้นพัฒนามาเพื่อใช้ในคนไข้เอดส์ แต่พบว่าในขนาดที่รักษาโรคเอดส์ มีผลข้างเคียงต่อไต เมื่อลดขนาดให้เหลือน้อยลง( 10 มิลลิกรัมต่อวัน) พบว่าให้ผลการรักษาเท่ากัน แต่ไม่ทำอันตรายต่อไต
ในอนาคต เชื่อว่า ยาในกลุ่มนี้ จะเป็นความหวังในผู้ที่ดื้อยาตัวอื่น หรือผู้ที่จำเป็นจะต้องได้รับยาเป็นระยะเวลานาน ๆ(chaiyo)

All Replys: 0   Pages: 1/0